ดินสอสีเลือด
25 เม.ย 2566 11:51 #1
ปลุกวิญญาณขึ้นมาคุย
คืนนี้ดูผิดแผกแปลกไปจากทุกคืน ตรีเทพหนุ่มหน้าใสวัยเบญจเพส มองดูนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ บอกเวลาห้าทุ่มสามสิบสามนาที เขากลับไม่มีอาการง่วงหงาวหาวนอนเลยแม้แต่นิดเดียว ใครกันนะที่บอกว่า ถ้านอนไม่หลับให้ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือสักสิบบรรทัดเดี๋ยวก็หลับเอง เห็นทีจะใช้ไม่ได้กับตรีเทพเสียแล้ว เพราะเขาอ่านไปร่วมสิบหน้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยสักนิด จึงวางหนังสือไว้ข้างเตียง เอื้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะหาหนังดี ๆ สักเรื่องดูฆ่าเวลา ดีกว่าตาค้างแข็งนอนมองเพดานห้องกับโคมไฟดวงกลมที่มันไม่มีวันยอมคุยเป็นเพื่อนเขาแน่นอนเชื่อสิ ในระหว่างกำลังเลื่อนดูรายชื่อหนัง ก็มีชื่อเพื่อนคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาขัดจังหวะบนหน้าจอ ทำให้เขาต้องกดรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ฮัลโหล ว่าไงกฤตโทรมาเอาซะดึก นี่มันห้าทุ่มครึ่งแล้วนะมีอะไร”
“ก็จะโทรมาชวนมึงไปเล่นอะไรสนุก ๆ น่ะสิ ไปนะเดี๋ยวกูไปรับที่บ้าน” จักรกฤตกรอกเสียงมาในโทรศัพท์
“อะไรของมึงที่ว่าสนุก” ตรีเทพขมวดคิ้วเข้าหากันให้นึกสงสัย
“เออน่าเดี๋ยวกูไปรับก็รู้เองแหละ กูชวนไอ้ลพกับไอ้วินไว้แล้วแค่นี้นะเดี๋ยวเจอกัน”
--อะไรของมันวะ-- บ่นอุบอิบกับตัวเอง แต่ก็เดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ เปิดออกหาชุดลำลองใส่แทนชุดนอนที่สวมอยู่ ใบหน้ายังคงฉายแววสงสัยคิดไปต่าง ๆ นานา ว่าต้องเป็นเรื่องไม่ธรรมดาแน่นอน
เสียงแตรรถยนต์ดังอยู่หน้าบ้านสองสามครั้งหลังจากเวลาล่วงเลยไปแล้วครึ่งชั่วโมง ทำให้ ตรีเทพรู้ว่า เพื่อนมารออยู่หน้าบ้านแล้ว จึงรีบออกจากห้องนอนตรงไปประตูใหญ่นอกบ้าน ก่อนที่บุพการีทั้งสองของเขาจะตื่นขึ้นมาต้อนรับเพื่อน ๆ แทน
“ทีนี้มึงบอกได้หรือยังว่าจะพากูไปไหน” หันไปถามจ้องเสี้ยวหน้าจักรกฤต หรือ กฤต ซึ่งทำหน้าที่ขับรถส่วนเพื่อนอีกสองคน ชื่อวัลลพกับมาร์วินนั่งอยู่ทางเบาะหลัง
“จะพามึงไปคุยกับวิญญาณ"
จักรกฤตตอบกลับ เสมือนว่าที่ตอบไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญทั่วไป โดยไม่ได้หันไปมอง ตรีเทพ สายตามองถนนไปเบื้องหน้าขับรถด้วยความเร็วสูงไม่ต้องกลัวอันตรายเส้นทางวิ่งได้สะดวก คงเพราะเป็นเวลาพักผ่อนของคนทั่วไปในยามราตรี
“อีกแล้วเหรอที่ไหนล่ะคราวนี้ แต่ก็ดีเหมือนกันกำลังเบื่อ ๆ ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเลย” ตรีเทพตอบ รู้สึกเซ็ง ๆ อือ ออ ไปตามเพื่อน นึกสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว
“บ้านร้างห่างจากนี่ประมาณเจ็ดสิบกิโลไอ้จ๋อมไปกับพรรคพวกมันมาแล้ว มันบอกว่าเฮี้ยนมากวงเกือบแตกเลยนะมึง” จักรกฤตพูดน้ำเสียงหนักแน่นปนตื่นเต้น
“มันเล่นอะไร…ผีถ้วยแก้วเหรอ” ตรีเทพถาม
“เอ่อ … ผีถ้วยแก้ว นี่แหละ…กูถึงอยากไปลองให้เห็นกับตา” จักรกฤตตอบ
“เออ เออ แต่ผมว่านะครับ เราไม่น่าจะไปรบกวนเขาเลยนะครับ เขาคงไม่พอใจไม่ยังงั้น คุณจ๋อมและพวกจะถูก…เออ…ถูก….เออ หลอกเหรอครับ” มาร์วินออกความคิดเห็น น้ำเสียงขาด ๆ หายนึก หวาดกลัวตั้งแต่ออกจากบ้าน
มาร์วินเป็นเพื่อนคนเดียวที่พูดจาไพเราะกับทุกคน เรียนเก่งที่สุดในกลุ่มเพื่อน มักจะเป็นคนขี้เกรงใจเวลาเพื่อน ๆ ชวนไปที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหรือน่ากลัว มาร์วินก็จะไม่กล้าขัดใจเพื่อน และงานนี้ก็เช่นกันถึงแม้จะกลัวอย่างไม่รู้สาเหตุว่าทำไม สองมือกุมประสานกันไว้บนตักเย็นเฉียบ แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะขัดใจเพื่อนนอกจากจะออกความคิดเห็นไปเท่านั้น ทว่าไม่เคยมีใครรับฟังแต่กลายเป็นตัวตลกในกลุ่ม เพราะนิสัย ซื่อ ๆ ตรงไปตรงมา และความซื่อตรงนี่เองจึงทำให้เพื่อนได้หัวเราะกันเป็นประจำ และก็ความซื่อนี่แหละที่ทำให้…ทุกคนต่างก็รักมาร์วินเพื่อนคนนี้อย่างจริงใจเช่นกัน
“ไอ้คุณวิน” เพื่อนทั้งสามเกือบจะหัวเราะ และพูดขึ้นพร้อมกัน รู้สึกขบขันในความหวาดกลัวเกินกว่าเหตุของมาร์วิน
“ไม่มีอะไรหรอกน่าปอดแหกไปได้ อยู่กับพวกกูกลัวอะไร อีกอย่างผีถ้วยแก้วมึงก็เคยเล่นมาแล้ว ทำยังกับไม่เคย” ตรีเทพเอ่ยเชิงปลอบใจ หากสีหน้าของอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด
“แต่…แต่…คราวนี้ ผมสัง...สังหรณ์ใจ ยัง..ยังไงพิกล” มาร์วินเกิดขนลุกเกรียวบริเวณต้นแขนขึ้นมาอีกอย่างไม่รู้สาเหตุ
จักรกฤต ชะลอรถช้าลงจอดไว้ข้างถนน มองผ่านความมืดไปทางด้านข้างพอมองเห็นเป็นทุ่งหญ้าลานกว้างบริเวณโดยรอบมืดมิดไร้บ้านคนอยู่อาศัย “ถึงแล้วบ้านร้างหลังนั้นแหละ ตรงกับที่ไอ้จ๋อมมันบอกเป๊ะ”
“ไอ้กฤต แล้วประวัติของบ้านหลังนี้มึงได้ยินมาว่ายังไงวะ” ตรีเทพเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมถามถึงเรื่องความเป็นมาของบ้านร้าง
“กูก็ไม่รู้รายละเอียด ไอ้จ๋อมมันไม่ยอมเล่า มันบอกแต่ว่าเจ้าของบ้านสองผัวเมียถูกยิงตายในบ้าน และพวกเขาก็หวงบ้านหลังนั้นมาก ญาติคนไหนมาอยู่ก็อยู่ไม่ได้ เป็นอันต้องรีบหอบเสื้อผ้าหนีกันคืนนั้นเลยไม่เคยมีใครนอนได้ถึงเช้าสักคน ไอ้จ๋อมมันถึงได้บอกว่าเฮี้ยนไง กูว่าคืนนี้คงได้สนุกกันไม่ต้องมาเสียเที่ยว” จักรกฤตตอบและหัวเราะตบท้ายนึกดีใจที่จะได้ลองของทักทายกับดวงวิญญาณ
ทั้งสี่ก้าวออกจากรถยนต์ ถือไฟฉายไว้คนละกระบอก ส่องไปยังบ้านร้างหลังหนึ่งสภาพแลดูทรุดโทรม พากันเดินลัดเลาะทุ่งหญ้า เป้าหมายชัดเจนคือบ้านร้างหลังนั้น เป็นบ้านหลังใหญ่ สูงสามชั้น มีต้นไม้กอใหญ่ยืนต้นอยู่หน้า ทำให้มองเห็นตัวบ้านได้ไม่เต็มตา บรรยากาศเวลานี้ช่างดูไม่ต่างอะไรกับยืนอยู่กลางลานสุสานในคืนเดือนดับ ทุกสรรพสิ่งที่เป็นสิ่งมีชีวิตเงียบสงบวังเวงบีบรัดหัวใจพวกเขาทั้งสี่ จนใครบางคนนึกคล้อยตามความคิดของมาร์วินอยากเปลี่ยนใจ แต่สายเกินไปเสียแล้ว
“มันเงียบเชียบยังกับป่าช้าเลยว่ะ ไม่มีลงมีลมพัดมาสักแอะ” วัลลพพูดขึ้นทำลายความเงียบ
“จะเล่นหน้าบ้านหรือขึ้นไปชั้นบนดี” ตรีเทพถาม
“ขึ้นไปข้างบนเถอะเผื่อจะได้ผลมากกว่าอยู่หน้าบ้าน” วัลลพตอบโดยไม่คิดและไม่นึกกลัว ส่วนมาร์วินเดินอยู่หลังสุด รู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจเต้นเร็วถี่ผิดจังหวะขนแขนลุกซู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ได้ยินประวัติของบ้านร้างหลังนี้จากปากจักรกฤต แต่ก็ยังแข็งใจเดินตามเพื่อนไปเมื่อเห็นไม่มีใครแสดงอาการหวาดหวั่น
“งั้นไปชั้นบนกัน” จักรกฤตส่องไฟฉายนำทางเดินเข้าประตูบ้าน
และเป็นเวลาเดียวกับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทักทายต้อนรับพวกเขา โครม!…
“ไอ้กฤตเสียงอะไรวะ มันมาจากทางไหน” วัลลพเอ่ยรีบสาวเท้าเข้ามาให้ใกล้เพื่อนมากกว่าเดิม
“เหมือนมันดังมาจากในตัวบ้านเลยว่ะเอาไงต่อ” จักรกฤตตอบและถามเชิงขอความเห็น มีบางอย่างทำให้เขาชักเริ่มลังเล
“ก็เข้าไปดูสิวะว่ามันเป็นเสียงอะไร กลัวทำไมมากันตั้งหลายคน” ตรีเทพตอบสั่งให้จักรกฤตเดินนำจนมาถึงกลางบ้าน ขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางเดิน เห็นมีเศษไม้วางระเกะระกะ เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นสภาพยังดูใช้ได้ดี เสียแต่มีฝุ่นเกาะหนาทึบ แล้วในที่สุดทั้งสี่ก็พากันมาถึงชั้นบนสุดของตัวบ้าน
“ไม่เห็นมีอะไรไม้มันคงผุเลยหล่นลงพื้น กูว่าเอาห้องนี้แหละกว้างดี” จักรกฤตลงความเห็น กวาดสายตาผ่านความมืดมองไปทั่วบริเวณห้อง คิดว่าคงเป็นห้องนอน สังเกตเห็นมีเตียงไม้เก่าตั้งวางอยู่ติดผนัง
“ดีเหมือนกันไอ้วินเอาผ้าออกมาปูเดี๋ยวกูจะจุดเทียน” ตรีเทพเห็นด้วยหยิบเทียนและไฟแช็กในกระเป๋าขึ้นมาจุด ส่วนมาร์วินหยิบผ้าสีขาวออกจากกระเป๋าเป้สะบัดคลี่ออกให้เต็มผืนสี่เหลี่ยมผืนใหญ่พอให้ทั้งสี่คนสามารถนั่งล้อมวงได้ ปูลงบนพื้นซีเมนต์เศษฝุ่นฟุ้งกระจายจนมาร์วินต้องย่นจมูกหยุดหายใจเพื่อไม่ให้ฝุ่นเข้าจมูกชั่วคราว ตรงกลางผ้ามองเห็นตัวอักษร ก ถึง ฮ ถูกเขียนเป็นวงกลมไม่มีสระ มีแต่คำว่า ‘เข้า’ และ ‘ออก’ อยู่ตรงกลาง
“เรียบร้อย ปะ เล่นได้” ทุกคนลงมานั่งล้อมวงผ้าผืนสี่เหลี่ยม ยื่นนิ้วชี้แตะไปที่ถ้วยแก้วใบเดียวกัน
“ไอ้คุณวินมึงเป็นอะไร สั่น ๆ อย่าปอดแหกสิวะไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรหรอก” จักรกฤตหันไปคุยกับมาร์วินเห็นมือไม้สั่นตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มเล่น
“คะ….ครับ ว่าแต่มีใครได้กลิ่นอะไรไหม มะ มันเป็นกลิ่นสาบ" มาร์วินตอบรับ ย่นจมูกฟุตฟิต คำพูดของจักรกฤต ไม่ได้ทำให้มาร์วินหายหวาดกลัวสักเท่าไร ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลัวมากกว่าทุกครั้งที่เคยเล่นมา
"ไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไร ไอ้คุณวิน มึงจมูกดีเกินไปไหม" จักรกฤตพูดติดตลกปนเสียงหัวเราะ
(มีต่อ)
ดินสอสีเลือด
สมาชิก
ดินสอสีเลือด
25 เม.ย 2566 11:55 #2
“เล่นเลยนะ” ตรีเทพมองหน้าเพื่อนทุกคนนิ่งเงียบแทนคำตอบ จึงมองไปที่ถ้วยแก้วตรงกลางแล้วเอ่ย “หากมีดวงวิญญาณใดที่วนเวียนอยู่แถวนี้ พวกเราขออันเชิญท่านเข้ามาในถ้วยแก้วใบนี้ และถ้าท่านเข้ามาแล้วให้เลื่อนถ้วยแก้วไปที่ 'เข้า'” ตรีเทพเอ่ยจบถ้วยแก้วยังอยู่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน
“อีกทีสิไอ้ตรี” วัลลพกระตุ้นให้ตรีเทพพูดซ้ำอีกครั้ง
“หากมีดวงวิญญาณใดที่วนเวียนอยู่แถวนี้ พวกเราขออันเชิญท่านเข้ามาในถ้วยแก้วใบนี้ และถ้าท่านเข้ามาแล้วให้เลื่อนถ้วยแก้วไปที่ 'เข้า'”
----เงียบ----
“สงสัยงานนี้จะถูกไอ้จ๋อมมันหลอกเสียแล้วว่ะ” วัลลพเอ่ยพลางหันไปจ้องหน้าสบตากับจักรกฤต
“อีกทีสิวะ ถ้าไม่มีผีตัวไหนมาจริง ๆ ก็กลับ” จักรกฤตพูดขึ้นน้ำเสียงออกหงุดหงิดที่ถูกหลอก แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “หากมีวิญญาณใดวนเวียนอยู่แถวนี้ พวกเราขอเชิญท่านเข้ามาในถ้วยแก้วใบนี้ และถ้าท่านเข้ามาแล้วให้เลื่อนถ้วยแก้วไปที่ 'เข้า'” คราวนี้ถ้วยแก้วก็เริ่มหมุนรอบเป็นวงกลมแล้วไปหยุดที่ ‘เข้า’ ทำให้ทุกคนมองหน้ากัน สีหน้าของทุกคนเวลานี้ดูตื่นเต้น
“ท่านเป็นหญิงหรือชาย ถ้าเป็นชายให้ไปที่ ช ถ้าเป็นหญิงให้ไปที่ ญ” วัลลพถามและถ้วยแก้วก็ขยับเลื่อนไปที่ ช
“มีใครดันถ้วยแก้วหรือเปล่า” จักรกฤตถาม หันไปมองหน้าเพื่อนทุกคน ได้รับคำตอบคือการส่ายหน้า
“ท่านเป็นอะไรตาย” ถ้วยแก้วเลื่อนไปที่ ถ – ก – ย – ง สะถดได้ว่า ถูกยิง
“ท่านอายุเท่าไหร่” ถ้วยแก้วเลื่อนไปที่ ส – ม – ส – บ สะกดได้ว่า สามสิบ
“ท่านรู้ไหมว่าใครเป็นคนฆ่าท่าน” ถ้วยแก้วเลื่อนไปที่ ร สะกดได้ว่า รู้
“ท่านชื่ออะไร“ ถ้วยแก้วเลื่อนไปที่ อ – ก – ช – ย
“มันอ่านว่าอะไรวะ” จักรกฤตถามหลังจากพยายามสะกดแล้วก็อ่านไม่ออก
“ท่านชื่อ เอกชัย ใช่ไหมครับ ถ้าใช่ เลื่อนไปที่ ช ถ้าไม่ใช่ เลื่อนไปที่ ม” มาร์วินเป็นฝ่ายถาม ถ้วยแก้วเลื่อนไปที่ ช
“ท่านรู้ไหม เลขงวดหน้าออกอะไร ถ้ารู้ ขอสัก 3 ตัวท้าย” ตรีเทพถามอย่างนึกสนุก และหัวเราะกับคำถามที่ถามไป ถ้วยแก้วเลื่อนไปที่ ร – ต – ม – ห ตรีเทพพยายามสะกด แต่นึกไม่ออก หันหน้าไปทางมาร์วิน
“ท่านคงบอกว่า รู้แต่ไม่ให้” มาร์วินเฉลยและยิ้มกับคำตอบ ดูจะเป็นยิ้มแลกที่เห็นตั้งแต่นั่งมาในรถ
“แล้วทำยังไงท่านถึงจะให้” ตรีเทพถามต่อด้วยความคึกคะนอง ถ้วยแก้วยังเลื่อนไปช้า ๆ ตามตัวอักษร ค – ว– ม - ต – ย เป็นประโยคที่ทำให้ทุกคนตกใจ พูดขึ้นพร้อมๆ กัน “ความตาย” ต่างมองหน้ากันล่อกแล่ก
มาร์วินละล่ำละลักพูดขึ้น “ผะ…ผมว่าเราเลิกเล่นเถอะ” ไม่รอช้าเป็นฝ่ายพูดเสียเองด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ทะ…ท่านเหนื่อยแล้ว คะ…คงอยากพักผ่อน พวกเราขอเชิญท่านไปที่ 'อะ…ออก' และถ้วยแก้วก็เลื่อนไปที่ 'ออก'
“ผะ ผม วา ว่า เราเก็บของกลับกันดีกว่า คะ ครับ” มาร์วินชวนเพื่อนทั้งสามให้กลับ ยังนึกกลัวเหตุการณ์และประโยคสุดท้ายที่ผ่านมาไม่หาย
“อย่าเพิ่ง ขออีกสักรอบเผื่อจะมีวิญญาณดวงใหม่ เมื่อกี้ยังไม่สนุกเลย ไอ้คุณวินปอดแหกไปได้” จักรกฤตชวนให้เล่นใหม่อีกครั้ง
“จะเอายังงั้นเหรอ” วัลลพหันมาทางตรีเทพ อย่างไม่แน่ใจเท่าไรนัก
“ก็ได้ แต่ท่าทางไอ้วินมันจะกลัว ๆ นะ ดูหน้ามันสิ ซีดเป็นไก่ต้มในหม้อแล้ว” ตรีเทพมองหน้ามาร์วิน ถึงแม้จะเห็นไม่ค่อยถนัดชัดเจน แต่ก็พอเดาออกว่ามาร์วินคงมีสีหน้าซีดเผือด
“กูว่า เหมือนคนถูกผีเข้ามากกว่าว่ะ” จักรกฤตหัวเราะออกมาเสียงดัง ทั้งตรีเทพและวัลลพพลอยหัวเราะตามไปด้วย
“วิน เล่นอีกรอบนะ สุดท้ายจริง ๆ กูสัญญา” จักรกฤตขอร้องให้มาร์วินเล่นด้วยอีกครั้งและรู้ว่ามาร์วินจะไม่มีทางขัดเขาแน่นอน
“กะ…ก็ได้ครับ” ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอบตกลง ยื่นนิ้วชี้เข้าไปแตะถ้วยแก้วที่เพื่อน ๆ แตะรออยู่ก่อนแล้ว
โครม! … โครม!…
มีเสียงอะไรบางอย่างตกหล่นลงพื้นอย่างแรงต่อเนื่องถึงสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน ดังมาจากอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปมีเพียงผนังห้องเท่านั้นที่กั้นเอาไว้ ทุกคนต่างตกใจรีบหันไปตามเสียง
“ผะ…ผม…ผม…วา…ว่า…เราเลิกเล่นเถอะคะ..ครับ” มาร์วินรีบดึงมือออก ขนลุกซู่ไปทั้งตัว น้ำเสียงแหบแห้ง ขาด ๆ หาย ๆ
“ไอ้คุณวินกลัวไปได้ ไม้มันคงหล่น ก็มันผุพังนานแล้ว มาเล่นต่อ สัญญากับกูไว้แล้วจะผิดสัญญาเหรอ มาเร็วจะได้รีบกลับไม่มีอะไรหรอกกูไม่เห็นกลัวมึงขวัญอ่อนไปเอง” จักรกฤตรีบพูดพร้อมทวงสัญญา
“คะ…ครับ เล่นก็ได้ครับ” เสียงของมาร์วิน ตะกุก ตะกัก ยื่นมือสั่น ๆ ไปแตะถ้วยแก้ว
“วิน มึงกลัวอะไร เป็นลูกผู้ชายหน่อยสิ พวกกูก็อยู่” วัลลพตบบ่าเพื่อนเบา ๆ ในใจนึกสงสารเพื่อนเหมือนกัน ระคนสงสัยทำไมครั้งนี้มาร์วินดูกลัวผิดปกติกว่าทุกครั้ง หรือว่าเพื่อนจะมีลางสังหรณ์บางอย่างล่วงหน้า
“คะ ครับ ผมพร้อมแล้ว” มาร์วินเอ่ยหนักแน่นให้เพื่อน ๆ มั่นใจ แล้วเกมใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“หากมี วิญญาณใดวนเวียนอยู่แถวนี้ พวกเราขอเชิญท่านเข้ามาในถ้วยแก้ว และถ้าท่านเข้ามาแล้วให้ไปที่ ‘เข้า’ จากนั้นถ้วยแก้ววิ่งวนรอบแล้วเลื่อนไปที่…‘เข้า’ คล้ายกำลังรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
“ท่านเป็น หญิง หรือ ชาย ถ้าเป็นหญิงให้เลื่อนไปที่ ญ ถ้าเป็นชายให้เลื่อนไปที่ ช” ถ้วยแก้วเลื่อนเร็วไปที่ ช
“ท่านชื่ออะไร” ถ้วยแก้วเลื่อนไปตามตัวอักษรทีละตัว อ – ก –ช – ย
“คนเดิม” มาร์วินอุทานออกมาท่ามกลางความแปลกใจของเพื่อนทุกคน
“จริง ๆ ด้วย คนเดิม” จักรกฤตครางออกมาเบาหวิวและถามต่อ
“ท่านอายุเท่าไหร่” ถ้วยแก้วเลื่อนไปที่ตัวอักษร ส – ม – ส – บ
“เชิญท่านออกดีกว่า เราไม่ต้องให้ท่านมาอีก เราต้องการ วิญญาณ อื่นนี่” จักรกฤตออกความเห็น
“ดีเหมือนกัน” ตรีเทพตอบและกล่าวว่า “ท่านคงเหนื่อย คงอยากพักผ่อน เราขอเชิญท่านไปที่ ‘ออก’ ถ้วยแก้ววิ่งวนรอบเป็นวงกลมอย่างรวดเร็วหลายรอบและไปหยุดอยู่ที่ ‘เข้า’
“ท่านไม่ยอมออก” วัลลพมองหน้าเพื่อนทั้งสาม รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของทุกคนเวลานี้
“พวกเราขอเชิญท่านไปที่ ‘ออก’ “ จักรกฤตพูดซ้ำ ถ้วยแก้ววิ่งวนรอบรวดเร็ว แล้วไปอยู่ที่ ‘เข้า’
“ทำยังไงดี ท่านไม่ยอมออก” และจู่ ๆ ดวงไฟจากแสงเทียนที่จุดไว้โดยรอบ ก็ดับลงไป สอง สามแท่ง แต่ยังไม่หมด ทว่าเหตุการณ์ดังกล่าวและความมืดยิ่งครอบงำทำให้ทุกคนหวาดผวาได้ในพริบตา
“ใจเย็น ๆ อย่าตกใจ ค่อย ๆ คิดพวกมึง” วัลลพบอกกับเพื่อนทุกคน ซึ่งเขาเองก็เกือบจะควบคุมสติตัวเองไม่อยู่ ทุกคนมือเริ่มสั่น แต่นิ้วชี้ยังแตะอยู่กับถ้วยแก้วมั่น
“ท่านอยากให้พวกเราช่วยอะไรให้ท่านบอก เลื่อนไปตามตัวอักษร พวกเราจะสะกดอ่าน” ในที่สุดจักรกฤตก็เอ่ยถาม เมื่อนึกไม่ออกแล้วว่าจะทำยังไงต่อไป ถ้วยแก้วหมุนเร็วขึ้น แล้วไปหยุดไปที่ อักษร ค – ว – ม – ต – ย
เวลาเดียวกันนั้นเอง เพราะแรงเลื่อนของถ้วยแก้ว เกิดหมุนขึ้นไวมาก จน นิ้วชี้ ของมาร์วิน ซึ่งสั่น อยู่แล้วก็หลุดออกจากถ้วยแก้ว และด้วยกฎของการเล่นผีถ้วยแก้ว ห้ามให้ใครเอานิ้วออกจากถ้วยจนกว่าเกมการเล่นจะจบลง ซึ่งหากมีใครถอดนิ้วออกในระหว่างเกมการเล่นกำลังดำเนินไปผู้นั้นจะต้องได้พบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด
“เฮ้ย….” มาร์วิน ตกใจ รีบจิ้มนิ้วไปที่ถ้วยแก้วตามเดิม “ผะ ผม นิ้วผะ ผมหลุดออก” มาร์วิน จ้องมองหน้าเพื่อน ๆ ซึ่งเห็นและจ้องมาที่เขาก่อนแล้ว
“ไอ้วินใจเย็น ๆ ตั้งสติพวกกูอยู่นี่มึงไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” ตรีเทพพยายามพูดปลอบเพื่อนอย่างเป็นห่วง เห็นมาร์วินตกใจจนแทบไม่สามารถครองสติสัมปชัญญะได้อีก
“ท่านอยากให้พวกเราช่วยอะไร ขอให้บอกตามตัวอักษร พวกเราจะสะกดอ่านทีละตัว” ตรีเทพพูดซ้ำอีกหน ถ้วยแก้ววิ่งวนรอบไปมา และเลื่อนไปหยุดตามตัวอักษรเดิม ค – ว – ม – ต – ย อ่านได้ว่า “ความตาย”
“พวกเราขอเชิญให้ท่านเลื่อนไปที่ ‘ออก’ ” วัลลพพูดต่อยังไม่ยอมแพ้ ถ้วยแก้วหมุนรอบเป็นวงกลม และ ไปหยุดอยู่ที่ ‘เข้า’ เหมือนเดิม
“ผะ ผม ไม่ไหว ผะ ผมไม่ไหวแล้วครับ” มาร์วินมีอาการผิดปกติ เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย คล้ายกำลังจะถูกบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่คนเข้าครอบงำ หายใจเร็วถี่ขึ้น ถี่ขึ้น รังแต่จะดึงมือออกจากถ้วยแก้ว
“ไอ้ตรีกดมือไอ้วินไว้ อย่าให้มันเอาออกนะ เร็วเข้า” จักรกฤตอยู่ตรงข้ามกับมาร์วิน รีบสั่งให้ตรีเทพกดมืออีกข้างที่ไม่ได้แตะถ้วยแก้ว กดทับนิ้วของมาร์วินไว้ ส่วนวัลลพนั่งอยู่ด้านข้างอีกด้านรีบเอื้อมมือเข้าไปกดช่วยอีกแรง
จักรกฤตพูดขึ้นเกือบจะเป็นเสียงตะโกนซ้ำอีกหน “เราขอเชิญท่านออกให้ท่านเลื่อนถ้วยแก้วไปที่ ‘ออก’ เดี๋ยวนี้” ถ้วยแก้วลากวนวิ่งรอบด้วยความเร็วหลาย ๆ รอบ แล้วไปหยุดที่ ‘เข้า’ เช่นเดิม ทุกคนในวงต่างตกใจ สบตากันคนนั้นทีคนนี้ทีทำอะไรไม่ถูกเส้นขนตามรูขุมขนลุกซู่ไปทั้งตัว
และแล้วในวินาทีนั้นเองสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็บังเกิดขึ้นกับคนทั้งสี่
“ปล่อยกู” เพียงเท่านี้ นิ้วชี้ของมาร์วินก็หลุดออกจากถ้วยแก้ว รีบลุกขึ้นวิ่งตรงไปยังหน้าต่างที่เปิดอ้าออกไว้แล้ว ทำให้เพื่อน ๆ ทั้งสามรู้ได้ทันทีว่า มาร์วินกำลังจะปีนขึ้นบนขอบหน้าต่างกระโดดจากชั้นสามลงสู่เบื้องล่าง วัลลพได้สติก่อนรีบวิ่งตามไปกระชากชายเสื้อของมาร์วินเอาไว้ได้ทัน พากันล้มลงมากองกับพื้นห้องฝุ่นตลบ กดทับตัวมาร์วินเอาไว้แน่น
“ปล่อยกู ไปให้พ้น ไปให้พ้น ปล่อยกู” มาร์วินดิ้นขัดขืนต่อสู้กับวัลลพจะลุกขึ้นให้ได้ ทำเอา แท่งเทียนที่จุดไว้ภายในห้องนั้นมอดดับไปหมด เหลือแต่ไฟฉายกระบอกเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นของมาร์วิน ที่เขาเปิดทิ้งไว้ไม่ยอมปิดตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาภายในบ้านหลังนี้ยังคงพอให้เห็นแสงสว่างอยู่บ้างเล็กน้อย
“ไอ้ตรีช่วยด้วยกูสู้แรงไอ้วินไม่ไหวแล้ว เร็ว ช่วยกูกดมันด้วย” วัลลพตะโกนให้ตรีเทพเข้ามาช่วยอีกแรง
“ไอ้กฤตมึงหาเทียนมาจุดหน่อย มันมืดไปหมดแล้วเร็วเข้า" วัลลพตะโกนสุดเสียง เห็นจักรกฤตหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก
“ไอ้วิน นี่กูเองมึงดูหน้ากูมึงจำกูได้ไหมไอ้วิน” ตรีเทพจับข้อแขนทั้งสองข้างซ้อนทับกับวัลลพ ซึ่งนอนทับร่างของมาร์วินไว้อีกที ตะโกนใส่หน้าเพื่อนหวังจะให้มีสติกลับคืนมา
“ปล่อยกู พวกมึงต้องตาย ปล่อยกู” เสียงทุกเสียงที่ผ่านกล่องเสียงของวินออกมาเวลานี้ เป็นเสียงทุ้มแหบน่ากลัวซึ่งมันไม่ใช่เสียงของมาร์วินอีกต่อไป
“ให้ ไอ้วิน แขวนนี่ไว้” จักรกฤตรีบถอดสร้อยพระออกจากคอตัวเอง พยายามเอาไปสวมที่ศีรษะของวินโดยเร็ว
“ปล่อยกู เอาออกไป ปล่อยกู พวกมึงต้องตาย เอาออกไป” เสียงอีกคนในร่างมาร์วิน ตะโกนโหวกเหวก ดิ้นรน ใช้เข่าทั้งยันทั้งถีบให้วัลลพและตรีเทพหลุดออกไปจากร่าง สร้อยพระถูกสะบัดเหวี่ยงทิ้งไปติดผนังห้องอีกด้าน แล้วมาร์วินก็ได้รับอิสระดังใจหมายอีกครั้ง
“พวกมึงต้องชดใช้ พวกมึงต้องตาย” วิญญาณที่สิงอยู่ในร่างของมาร์วินมีแววตาและรอยยิ้มชวนสยอง ทำให้ทั้งวัลลพกับตรีเทพเห็นแล้วแทบผงะ แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน พริบตาต่อมาวิญญาณร้ายในร่างมาร์วินก็หันขวบไปทางหน้าต่าง พุ่งกระโจนหมายมั่นให้ร่างของมาร์วินที่มันอาศัยอยู่ลอยคว้างออกทางหน้าต่างโดยปราศจากการขัดขวางได้อีก
(มีต่อ)
ดินสอสีเลือด
สมาชิก
ดินสอสีเลือด
25 เม.ย 2566 12:00 #3
.
“ปึง”
อีกครั้งที่ร่างมาร์วินล้มหงายตึงไปพร้อมกับร่างของใครอีกคนได้ทันเหตุการณ์ และร่างนั้นก็คือจักรกฤต ซึ่งเวลานี้ก็กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะร่างของมาร์วินนั่งทับเขาเอาไว้ แววตาเกรี้ยวโกรธจ้องเขม็ง“พวกมึงต้องตาย” สองมือบีบรัดลำคอไว้แน่นจนจักรกฤตรู้สึกอึดอัดหูอื้ออ้าปากพะงาบ ๆ ไอแคก แคก อยู่ในลำคอ มีน้ำใสไหลออกจากหางตาทั้งสองข้างเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะสิ้นลม
“โอ๊ย...โอ๊ย...ปล่อยกู ปล่อย ปล่อยกู เอาออกไปให้พ้น ไปให้พ้น พวกมึงต้องตาย”
ร่างของมาร์วินผงะหงายหลังออกจากร่างของจักรกฤต ดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น เอื้อมหยิบสร้อยพระที่มีคนนำมาคล้องคอได้สำเร็จ หวังจะถอดแต่แล้วก็ต้องรีบปล่อยมือเป็นแบบนี้ร่ำไป เป็นเพราะทุกครั้งที่แตะต้องสร้อยพระเส้นนั้น ประหนึ่งว่ามันกำลังถูกไฟบรรลัยกัลป์แผดเผาให้มอดไหม้
“ไอ้ลพรีบไปเอาน้ำมนต์มาสาดตัวไอ้วินเร็วเข้า” ตรีเทพรีบตะโกนบอกเพื่อนแล้ววิ่งไปดูจักรกฤตที่กำลังโก่งคอไอโขลก ๆ สูดเอาออกซีเจนเข้าทางปากและจมูกเข้าปอดราวกับคนตายไปแล้วมีโอกาสได้เกิดใหม่อีกหน
“ไอ้กฤตมึงเป็นไงบ้าง”
“กูไม่เป็นไร มึงรีบไปช่วยไอ้ลพดูไอ้วินเร็วเข้า”
ตรีเทพเห็นว่าเพื่อนปลอดภัยแล้วก็ผละออกไปช่วยวัลลพต่อ รีบเข้าไปกดทับร่างของมาร์วินเอาไว้ เพื่อให้วันลพนำน้ำมนต์ในกระเป๋าเป้ออกมาสาดใส่ใบหน้าของมาร์วินได้ง่ายและสะดวกขึ้น ทันทีที่ใบหน้าและลำตัวของมาร์วินถูกสาดด้วยน้ำมนต์ ก็สะดุ้งโหยง ดิ้นทุรนทุรายคล้ายคนถูกน้ำร้อนรวกไปทั้งตัว แล้วไม่นานร่างนั้นก็อ่อนลงแต่ยังไม่สิ้นฤทธิ์
“ปล่อยกู ปล่อย ปล่อยกู ไปให้พ้น ไปให้พ้น พวกมึงต้องตาย” เสียงนั้นยังคงพูดต่อไม่ยอมหยุด หากแรงต้านเริ่มแผ่วลง
“มันสงบลงแล้ว ทีนี้จะทำไงกันต่อไปดี” จักรกฤตเดินมาสมทบ ขอความคิดเห็นเพื่อนทั้งสอง และคิดอะไรไม่ออกแล้วเวลานี้ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แววตาเศร้าสลดลงรู้สึกเสียใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่อง
“กูว่าเรารีบพามันออกไปจากที่นี่ดีกว่า แล้วพามันไปหาพระที่วัดเลย” ตรีเทพออกความคิดเห็น พร้อมกับถอดสร้อยพระจากคอตัวเองออกไปแขวนให้มาร์วินเพิ่มอีกเส้น
“เฮ้ย ไอ้ตรีอย่าถอด” วัลลพร้องห้าม
“ไม่เป็นไรกูแขวนพระมาสององค์ แอบเอาของพ่อกูที่วางไว้ในห้องพระมาด้วย” ตรีเทพเอ่ยยิ้ม ๆ
“ดี ดี กันไอ้วินมันออกฤทธิ์ ไปเร็ว รีบออกไปกันเถอะ” วัลลพเห็นด้วยรีบคล้องแขนของมาร์วิน ร่างอันขาดสติพูดจาไม่เป็นภาษาขึ้นมาพาดคอไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างเป็นหน้าที่ของตรีเทพ มีจักรกฤตถือไฟฉายส่องทางนำหน้าลงบันไดไปด้วยความรีบเร่ง แต่แล้วทันใดนั้นเอง
“โอ๊ย!”
จักรกฤต ซึ่งเดินอยู่ด้านหน้าเกิดพลัดตกบันได จากชั้นสามลงมาถึงชั้นสองของตัวบ้าน
“ไอ้กฤตมึงเป็นยังไงบ้างไอ้กฤต” ตรีเทพชะเง้อคอมองผ่านความมืดตะโกนสุดเสียง เห็นเพื่อนกลิ้งตกบันไดลงไปต่อหน้าต่อตา
“ไอ้ตรีมึงรีบลงไปดูไอ้กฤตเร็ว ส่วนไอ้วินกูดูมันเอง” วัลลพรีบให้ตรีเทพลงไปดูเพื่อนล่วงหน้า
“แล้วมึงล่ะ เกิดไอ้วินมันมีอาการขึ้นมาอีก มึงจะสู้แรงมันไหวรึ” ตรีเทพถามอย่างเป็นห่วง มองหน้ามาร์วินอย่างไม่ไว้ใจ
“เออไปเถอะน่า กูไหว รีบไป ไอ้กฤติเป็นไงบ้างก็ไม่รู้”
“ก็ได้ งั้นกูลงไปก่อนนะ” ตรีเทพรีบก้าวเดินลงบันไดอย่างระวัดระวัง ในระหว่างนั้นก็สวดมนต์ภาวนาท่อง นะโม ไปด้วยตลอดทาง
“ไอ้วินมึงอย่าออกฤทธิ์นะกูขอล่ะ” วัลลพพยุงมาร์วินตรงไปยังบันไดช้า ๆ และก็ทำเช่นเดียวกับ ตรีเทพ สวดมนต์ภวานา ท่อง นะโม ไปจนสุดทาง เพราะวัลลพคิดว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ไม่ให้ขาดสติไปอีกคนในเวลานี้
ทั้งสี่ลงมาอยู่ชั้นล่างอย่างทุลักทุเล มาร์วินยังไม่ได้สติพูดจาไม่รู้เรื่อง ดวงตาเหม่อลอย ส่วนจักรกฤตบาดเจ็บศีรษะแตกมีเลือดไหลย้อมผ่านมาทางใบหน้าซีกหนึ่ง หัวเข่ามีแผลฉีกขาดเลือดไหลเป็นทางไม่ยอมหยุด จักรกฤตบอกกับตรีเทพและวัลลพว่าเหมือนถูกใครผลักให้เขาตกลงมา
“รีบ ๆ เถอะออกจากที่นี่เร็วที่สุดได้ยิ่งดี” ตรีเทพพยุงจักรกฤตให้ก้าวเดินออกจากประตู
ปัง! ปัง! ราวกับว่ามีใครกำลังทุบผนังห้องชั้นสองหรือชั้นสามบนตึก
“ไม่ไหวแล้วเร็วไอ้ลพรีบพาไอ้วินออกมา ท่องนะโม ไว้นะมึง” ตรีเทพกับบวัลลพ รีบพยุงมาร์วิน และจักรกฤตออกมาจากบ้านร้าง ผ่านทุ่งหญ้าและความมืด ขากลับต้นไม้ใหญ่พัดไหวโยกเยกรุนแรง แตกต่างจากขามาโดยสิ้นเชิง และหนักมากกว่านั้น จู่ ๆ ก็มีสายลมเย็นยะเยือกกระทบผ่านใบหน้าพวกเขาทั้งสี่คน ทำเอา ตรีเทพ และ วัลลพขนลุกซู่ เย็นวาบตั้งแต่ปลายผมจนถึงปลายเท้า ทว่าทั้งสองก็ต้องเข้มแข็งทำใจดีสู้เสือ พากันสวดมนต์ ท่อง นะโม เพื่อไปให้ถึงรถยนต์เร็วที่สุด
“ไอ้ลพ ไอ้กฤตมันลืมปิดไฟในรถหรือว่ะ ทำไมไฟในรถมันเปิด แต่กูว่ากูเห็นมันปิดแล้วนะ?”
“มึงคิดมากไปเอง มันอาจจะลืมปิดก็ได้ รีบไปเหอะ กูไม่อยากอยู่แถวนี้”
“แต่กูปิดแล้วจริง ๆ" จักรกฤตกระซิบออกมาเสียงเบาหวิว รู้สึกปวดบาดแผลเกือบจะทนไม่ไหว เลือดยังคงไหลออกมาจากบาดแผลไม่มีวี่แววจะหยุด
“มึงไม่ต้องพูดอะไร อดทนหน่อย อย่าหลับนะมึง กูกำลังจะพามึงไปโรงพยาบาล” ตรีเทพเอียงคอหันหน้ามาคุยกับจักรกฤตพยุงเดินอย่างยากลำบาก
เวลาไม่กี่นาทีทุกคนก็มาถึงที่จอดรถ ตรีเทพและวัลลพต่างพากันโล่งอกที่กุญแจรถ ยังอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจักรกฤต ไม่ได้ตกหล่นอยู่ในบ้านร้าง รีบพามาร์วินกับจักรกฤตขึ้นไปบนรถ ตรีเทพทำหน้าที่คนขับ หากทว่าทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นดั่งใจหมาย
“ไอ้ลพมันสตาร์ตไม่ติดว่ะ” ตรีเทพพยายามจะสตาร์ตรถหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ติด
“หรือว่าน้ำมันหมด มึงดูสิว่ามีไหม”วัลลพถาม
“ตั้งครึ่งถังนะมึง เกิดอะไรขึ้นวะกูทำอะไรไม่ถูกแล้ว” ตรีเทพเริ่มมีอาการแข็งทื่อขนลุกซู่ไปทั้งตัว
บรรยากาศภายในรถเย็นเฉียบทั้งที่ไม่ได้เปิดแอร์จนวัลลพเป็นฝ่ายทนไม่ไหว “ไอ้ตรีลดแอร์หน่อยกูหนาวจะตายอยู่แล้ว”
“มึงจะบ้าเหรอไอ้ลพรถสตาร์ตไม่ติดแอร์ที่ไหนมันจะทำงานวะ” กลืนน้ำลายเหนียวหนืดของตัวเองลงคออย่างยากลำบาก เหมือนมีก้อนอะไรติดอยู่กับคอหอย
“ไอ้ตรี กู วา ว่า ต้องทำอา อะไร สะ สักอย่างแล้ว” วัลลพเอ่ยขึ้นปากสั่น เสียงสั่นตะกุก ตะกัก
“ทำอะไรมึงรีบบอกมาเหอะกูจะเป็นบ้าแล้ว”
“กูว่าต้อง ขอโทษที่เรามาลบหลู่ท่าน กูไม่เห็นทางไหนดีไปกว่านี้แล้ว ไอ้ตรี”
สิ้นเสียงคำพูดของวัลลพก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ปัง! คล้ายมีอะไรหนัก ๆ หล่นลงมาใส่หลังคารถ จนทุกคนสะดุ้งโหยงยกเว้นมาร์วิน
“พวกเรากราบขอโทษที่มาลบหลู่ท่าน พวกเราขอสัญญาว่าจะไม่กลับมารบกวนท่านอีก และตั้งแต่นี้ต่อไปพวกเราทั้งสี่คนขอสัญญาว่าจะเลิกเล่นผีถ้วยแก้วอีกตลอดชีวิต ได้โปรดให้อภัยพวกเราทั้งสี่คนด้วยครับ” ตรีเทพเอ่ยขึ้นดัง ๆ พนมมืออันสั่นเทาขึ้นไหว้แนบอก และก้มศีรษะลงกราบให้ปลายนิ้วชี้ทั้งสองแตะบริเวณหน้าผาก ผงกศีรษะขึ้นลงอยู่หลายรอบ
“ได้โปรดอภัยให้พวกผมทั้งสี่คนด้วยครับ พวกผมขอโทษ” วัลลพพนมมือไหว้ตาม ตัวสั่นปากสั่นได้ยินเสียงฟันกระทบกัน กุก กุก กัก กัก
“ไอ้ตรี ลองสตาร์ตใหม่อีกที”
“สาธุ ติดทีเถอะได้โปรด” ตรีเทพก้มลงกราบพวงมาลัยรถ มือไม้สั่นบิดกุญแจรถ ทว่าทุกอย่างยังคงเงียบสงัด
“สตาร์ตอีกทีไอ้ตรี”
“กูหมุนจนมือแดงมือบิดแล้วนะมึงก็เห็น ทำไมมันไม่ติดวะ ทำไงดีคราวนี้ไอ้ลพกูจะเป็นบ้าอยู่แล้ว” เอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือทำท่าจะร้องไห้
ปัง! เสียงบนหลังคารถดังขึ้นซ้ำอีก
“โอ๊ย… กูไม่ไหวแล้วไอ้ลพ พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย” ตรีเทพตกใจพนมมือกราบไหว้อยู่กับพวงมาลัยรถนับครั้งไม่ถ้วนราวกับคนขาดสติ
วัลลพยังคงพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้างและนึกขึ้นได้ก็รีบเอ่ย “ไอ้กฤต มึงยังไม่ได้ขอขมาท่านเลยนะมึงเป็นหัวโจกเรื่องมาที่นี่ เร็ว ๆ กราบขอขมาท่านเดี๋ยวนี้”
จักรกฤตทำตามคำสั่งของเพื่อน ยกสองมือที่เต็มไปด้วยเลือดของตัวเองขึ้นมาพนมมือไว้แนบอกพร้อมกับกล่าวคำขอขมาอย่างแผ่วเบาด้วยความสำนึกผิด “ผมขอโทษที่มาลบหลู่ท่าน ขอให้ท่านได้โปรดให้อภัยผมกับเพื่อน ๆ อีกสักครั้ง ผมขอสัญญาว่าต่อไปผมจะไม่เล่นผีถ้วยแก้วอีกตลอดชีวิตนี้ ได้โปรดยกโทษให้กับความโง่เขลาของผมด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ” แล้วเงยหน้าขึ้นหันไปทางตรีเทพพยักหน้าให้
ตรีเทพที่จ้องเพื่อนอยู่แล้วจึงบิดกุญแจรถอีกครั้ง คราวนี้เสียงเครื่องยนต์ก็ทำงานปกติเหมือนมันไม่เคยมีปัญหามาก่อน
“ติดแล้ว ติดแล้ว ไอ้ตรี รีบไปให้ไกลจากที่นี่ เร็วก่อนกูจะประสาทเสีย กูไม่มีทางเล่นผีถ้วยแก้วอีกแล้วตลอดชีวิต กูเข็ดจนตาย” วัลลพเอ่ยขึ้นยิ้มทั้งน้ำตา
เก๋งคันงามขับเคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็มีรถยนต์อีกคันขับสวนขึ้นมาช้า ๆ ชะลอความเร็วคล้ายกำลังจะหาที่จอดรถ
...THE END…
ดินสอสีเลือด
สมาชิก