ดินสอสีน้ำ

ดินสอสีน้ำ

สมาชิก

  เรื่องสั้น...ชายหนุ่มผู้มีดวงดามืดบอด กับหญิงสาวที่พูดไม่ได้ (100 อ่าน)

23 พ.ย. 2565 22:50



ชายหนุ่มผู้มีดวงตามืดบอด กับ หญิงสาวที่พูดไม่ได้



ต้นไม้น้อย : สวัสดี คุณปูน และ คุณกรงเหล็ก

คุณปูน : สวัสดี ต้นไม้น้อย และ คุณกรงเหล็ก

คุณกรงเหล็ก : สวัสดี ต้นไม้น้อย และคุณปูน



เมื่อทั้งสามทักทายกันเรียบร้อย คุณกรงเหล็กจึงได้โอกาสซักถาม หลังจากเงียบขรึมมายาวนานจนคิดว่าตัวเองพูดไม่ได้ เพราะไม่มีใครคุยกับเขาเลยจนกระทั่ง ต้นไม้น้อย เกิดจับพลัดจับผลูโผล่ออกมาจากซอกปูนที่เป็นรอยต่อของพื้นอาคาร "เฮ้...เจ้าต้นไม้ต้นน้อย ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ"



“หนูไม่แน่ใจ น่าจะมากับสายลม หรือไม่ก็คุณนกตัวใดตัวหนึ่งพาหนูมา แต่พอหนูอยู่ตรงนี้พร้อมจะเติบโต หนูก็รู้แค่ว่า หนูต้องเติบโตค่ะ" ต้นไม้น้อยกล่าวตอบอย่างสุภาพ



"เจ้าจะเติบโตได้ยังไง ต้นไม้น้อย อาหารเจ้าก็ไม่มีให้กิน น้ำก็ไม่มีให้ดื่ม อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องตาย" คุณปูน เอ่ยขึ้นบ้าง



“หนูไม่ตายหรอกค่ะคุณปูน ลึกลงไปจากคุณปูน ยังมีดิน มีแร่ธาตุ พอให้หนูกินได้บ้างค่ะ และหนูก็ได้แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านคุณกรงเหล็กมาไงคะ เท่านี้หนูก็เติบโตได้แล้วค่ะ" ต้นไม้น้อยตอบคุณปูนอย่างสุภาพเช่นกัน



“แต่สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับเจ้าหรอกนะต้นไม้น้อย ไม่เห็นเหรอ ยังไงเจ้าก็ไม่มีทางเติบโต ดู ๆ เจ้าก็ไม่ต่างไปจากผู้ต้องขังสักเท่าไร ฮ่า ๆ” คุณกรงเหล็กหัวเราะ



“อยู่ที่ไหนหนูก็โตได้ค่ะ ถ้าหนูไม่ยอมแพ้” ต้นไม้ตอบและยังคงยิ้มอารมณ์ดีโดยแสดงอาการเคลื่อนไหวส่วนใบไปมา



“ใครสอนให้เจ้าคิดเช่นนั้น ต้นไม้น้อย” คุณปูนเอ่ยถาม



“หนูได้ยินญาติ ๆ หนูคุยกันออกบ่อยค่ะ พวกเขาบอกว่า ขอเพียงเราไม่สิ้นหวัง เราก็จะมีกำลังใจ แล้วจะเติบโตค่ะ”



คุณกรงเหล็ก ได้ยินเช่นนั้น ด้วยความเป็นเหล็กช่างสงสัย จึงเอ่ยถามต้นไม้น้อยว่า "ทำไมเจ้าถึงคิดแต่สิ่งที่เข้าข้างตัวเองล่ะเจ้าต้นไม้น้อย"



“คุณกรงเหล็ก จะให้หนูคิดแต่เรื่องร้าย ๆ จะเอาอาหารที่ไหนกิน น้ำที่ไหนดื่ม แล้วรอวันตายเหรอคะ แบบนั้นสู้หนูตายตั้งแต่ยังเป็นเมล็ดดีกว่าค่ะ ตอนนี้หนูกำลังจะเติบโต และหนูก็พร้อมแล้วค่ะ" เจ้าต้นไม้น้อยตอบยิ้ม ๆ อย่างคนอารมณ์ดี



คุณปูนได้ยินเช่นนั้น ก็พูดบั่นทอนกำลังใจ ต้นไม้น้อยต่อไปอีกว่า "เอาเถอะ ถึงเจ้าไม่ตายตอนนี้ แล้วเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายเจ้าก็จะอยู่แค่ตรงนี้ โตได้แค่นี้ เจ้าเห็นไหม ว่ามันมีเพดานปูนอยู่บนหัวเจ้า เจ้าจะสูงใหญ่ไปได้สักแค่ไหนเชียวฮึ"



ต้นไม้น้อย ยังคงยิ้มสดใส มองคุณปูนและคุณกรงเหล็กสลับกันไปมา แล้วตอบกลับไปว่า “ก็สูงใหญ่ได้เท่าที่หนูจะเติบโตได้ค่ะ”



“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร เจ้าต้นไม้น้อย ไม่แน่นะ พรุ่งนี้พวกมนุษย์อาจจะมาทุบตึกนี้ทิ้งเพื่อสร้างใหม่ หรือไม่ก็มาถอนรากเจ้าทิ้งแล้วเอาปูนมาปิดทับรอยปริแยกที่เจ้าโผล่ขึ้นมาก็ได้” คุณกรงเหล็กกล่าวเสริม



“มันเรื่องของวันพรุ่งนี้นี่คะ วันนี้หนูยังมีชีวิตอยู่ หนูก็ขอต่อสู้เพื่อให้หนูเติบโตต่อไปค่ะ” ต้นไม้น้อยยังไม่ยอมแพ้และเสียกำลังใจ



“คิดแบบเจ้ามันดีตรงไหนล่ะเจ้าต้นไม้น้อย” คุณกรงเหล็กถามต่อ



“อย่างน้อย ตอนนี้หนูก็ได้อยู่เป็นเพื่อนคุณกรงเหล็ก กับคุณปูน ได้ทักทาย คุณทั้งสองจะได้ไม่เหงาไงคะ”



“เออแฮะ ความคิดดีนี่ พี่ไม่ได้คุยกับใครนานมากจนคิดว่าพี่พูดไม่ได้เสียแล้ว เจ้าหนูนี่ความคิดดี ฮ่า ๆ” คุณกรงเหล็กตอบปนเสียงหัวเราะ เริ่มจะคล้อยตาม



“เออจริงด้วย ตอนน้าเห็นพี่กรงเหล็กมาอยู่ใหม่ ๆ น้าก็ไม่ได้ทักทาย สุดท้ายทั้งน้าปูนและพี่กรงเหล็กก็กลายเป็นใบ้พูดไม่เป็น ดี ดี มีเจ้ามาเป็นเพื่อนชวนคุยจะได้ไม่เหงา” คราวนี้คุณปูนเกิดเห็นด้วยสนับสนุนความคิดของต้นไม้น้อย



“ต่อไปหนูขอเรียกพี่เหล็กกับน้าปูนนะคะ”



ทั้งสองไม่โต้ตอบได้แต่พากันหัวเราะให้กับความสดใสไร้เดียงสาของต้นไม้น้อยต้นนั้น



“พี่เหล็กกับน้าปูนรู้ไหมคะ ตอนที่หนูเป็นเมล็ดพันธุ์อยู่กับญาติ ๆ หนูได้ยินพวกเขาคุยกันว่า ตามธรรมชาติของต้นไม้อย่างหนู เวลาเติบใหญ่พอให้ร่มเงาได้ ก็จะมีพวกสัตว์ต่าง ๆ มาขออยู่อาศัย เช่น นก กระรอก ผีเสื้อ อะไรพวกนี้แหละค่ะ อีกหน่อย พวกเราทั้งสามก็จะได้เพื่อนมากขึ้น ได้ยินเสียงร้องเพลงของนกทั้งหลายที่มาขออาศัยอยู่กับหนู พวกเราก็จะสนุกและไม่เหงาค่ะ”



“เอ่อเว๊ย เจ้านี่คิดบวกตลอดเวลาเลยเว๊ย ดี ๆ คิดแต่เรื่องดี ๆ จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์” คุณกรงเหล็กหัวเราะชอบใจ



“ว่าแต่..ถ้า..” คุณปูนตั้งท่าถามคำถามในแง่ลบที่ยังมาไม่ถึง



“ไม่มีแต่ค่ะน้าปูน น้าอย่าคิดเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นสิคะ มีความสุขกับวันนี้ตอนนี้ดีกว่าค่ะ” ต้นไม้น้อยโน้มกิ่งใบลงไปทักทายกับคุณปูน



“เอ่อ ไม่คิด ก็ไม่คิด เจ้าเด็กนี่” คุณปูนหัวเราะชอบใจที่ตนถูกต้นไม้น้อยเพิ่งโผล่พ้นปูนมาไม่กี่เซนติเมตรสั่งสอน



นับตั้งแต่วันนั้น ต้นไม้น้อยจะกล่าวทักทายน้าปูนกับพี่เหล็กทุกวัน และบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ครั้งเมื่อเธออาศัยอยู่ที่อื่นยังเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เธอได้ยินมา ให้กับคนทั้งสองฟังเป็นประจำ กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามจึงแน่นแฟ้นมากขึ้น จนต้นไม้น้อยเติบโตกลายเป็นสาวสวย ลำต้น แขน ขา กิ่งใบสูงชนเพดาน และยังมีทีท่าว่าจะขยับขยายแผ่กิ่งก้านไปทั่วเท่าที่เธอจะขยับเขยื้อนได้



(มีต่อ)

ดินสอสีน้ำ

ดินสอสีน้ำ

สมาชิก

ดินสอสีน้ำ

ดินสอสีน้ำ

สมาชิก

23 พ.ย. 2565 22:52 #1

“แม่ต้นไม้สาวสวยของพี่เหล็กกับน้าปูน เป็นยังไงบ้างเจ้าตัวโตขึ้นมาเยอะมาก ตอนนี้รู้สึกอึดอัดบ้างไหม” คุณกรงเหล็กเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงในเช้าวันหนึ่ง



“สบายมากค่ะพี่เหล็กกับน้าปูน หนูแผ่ขยายไปตรงไหนก็ได้เท่าที่หนูจะเติบโต แต่คงสูงไม่ได้แล้วค่ะ มันไปชนเพดานส่วนหนึ่งของน้าปูนค่ะ”



“ถ้าอึดอัดก็มาลอดผ่านพี่เหล็ก แล้วออกไปรับสายลมแสงแดดตรง ๆ เลยแม่สาวสวยของพี่เหล็ก”



“ขอบคุณค่ะพี่เหล็ก”



“แม่สาวสวยของน้าปูน กับ คุณกรงเหล็ก มีคนกำลังจะเข้ามาภายในอาคารหลังนี้นะ น้าปูนเห็นพวกเขาจอดรถไว้ด้านหน้า น่าจะเป็นเจ้าของตึกนะ เห็นเป็นชายหญิงและเด็กสาวตัวเล็ก ๆ อีกหนึ่ง”



“เอ...หรือว่าพวกเขากำลังจะมาดูว่า จะทำยังไงกับอาคารร้างหลังนี้หรือเปล่า ไม่นะ ถ้าพวกเขาเห็นแม่สาวสวยของพี่เหล็ก พวกเขาจะต้องมาโค่นทิ้ง แม่สาวสวยของพี่จะถูกขวานจาม หรือถูกเลื่อยไฟฟ้าตัดตรงลำตัว ไม่นะ ไม่ได้” คุณกรงเหล็กเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหวาดหวั่น



“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่เหล็ก คิดเสียว่ามันถึงเวลาของหนูแล้ว” ต้นไม้แสนสวยก็ยังคิดในแง่ดี เพื่อปลอบใจอีกฝ่าย ถึงแม้ส่วนลึกแล้วเธอก็หวาดกลัวไม่แพ้กัน



“คุณเหล็กอย่าพูดให้ แม่สาวสวยของเราขวัญเสียสิ อยากรู้ก็เงียบ ๆ ก่อน พวกเขาเดินมาทางนี้แล้ว”



ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ได้ยินเสียงฝีเท้าของทั้งสามย่ำเดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ แล้วหยุดอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาอยู่มากนัก



“คุณคะ อาคารหลังนี้มันเก่ามากแล้ว ฉันคิดว่าไม่ควรสร้างต่อนะคะ น่าจะทุบทิ้ง แล้วเริ่มสร้างใหม่ดีกว่าค่ะ” ฝ่ายหญิงออกความคิดเห็น



“พอผมมาดูของจริง ก็เห็นด้วยกับคุณนะ คงต้องทุบทิ้งจริง ๆ แล้วล่ะ”



“ดีค่ะ น่าจะเสร็จทัน ตอนเราย้ายมาอยู่ที่นี่ต้นปีหน้า”



“จะว่าไป ผมก็เสียดายเงินที่สร้างไปแล้วเกินครึ่งนะคุณ เงินมันหลายล้านอยู่”



ฝ่ายชายมองดูสภาพภายในตัวอาคารเก่าที่ก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ ผนังและพื้นฉาบปูนไว้อย่างหยาบ ประตู หน้าต่าง ก็มีแต่ช่องไม่มีวงกบ ซึ่งเวลานี้กลับมาดูอีกครั้งยิ่งทรุดโทรมลงไปอย่างเห็นได้ชัด



“เอาเถอะคุณ ทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ดีกว่า ขืนคุณเสียดายเงินแล้วมาสร้างต่อจากของเก่า เกิดวันดีคืนดีมันพังลงมาไม่คุ้มกันนะคะ”



“เอาตามนั้นคุณ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะติดต่อช่างให้มาประเมินราคา กลับกันเถอะ ฝนตั้งเค้ามืดมาแต่ไกลแล้วนั่นคุณเร็ว”



และก่อนที่สามพ่อแม่ลูกจะก้าวเดินออกไปจากตัวอาคาร ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นทางหน้าด้านหน้า



“จะไปไหนกัน ส่งเงินและของมีค่าที่ติดตัวของพวกแกมาให้หมด ไม่งั้นอย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่”



ชายฉกรรจ์สองคนยืนจังก้าในมือถือมีดปลายแหลมเอาไว้คนละด้าม รูปร่างหน้าตาน่ากลัว หนวดเครารกรุงรัง มีดวงตาดุร้ายเหยี้มเกรียม จนเด็กน้อยผู้อ่อนต่อโลกวัยเพียบห้าขวบส่งเสียงร้องไห้ลั่นด้วยความหวาดกลัว



“คุณ คุณพาลูกวิ่งหาที่หลบก่อน ผมจะคุยกับพวกมันเอง เร็ว รีบไป” ฝ่ายชายได้สติ สิ่งแรกที่เขาคิดได้คือปกป้องภรรยาและลูก



“ไม่ ไม่ คุณต้องไปด้วย ฉันจะไม่ทิ้งคุณไว้ที่นี่คนเดียว”



“ถ้าคุณไม่ไป เราจะตายกันหมด ลูกก็จะตายด้วย คุณหาที่หลบนะ ถ้ามีโอกาสโทรหาตำรวจเราอาจมีโอกาสรอด เร็วเข้า”



ฝ่ายหญิงจำเป็นต้องทำตาม รีบจูงมือเด็กน้อยวิ่งเข้าไปภายในตัวอาคารหาที่หลบซ่อน แล้วเธอก็ไปเจอต้นไม้ต้นหนึ่งสูงติดเพดาน มีกิ่งใบหนาย้อยลงมาถึงโคนต้น และเธอไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองมากนัก จึงตัดสินใจรีบพาลูกสาวเข้าไปหลบในพุ่มไม้ต้นนั้น



“ซู่ ๆ ลูกหญิง อย่าร้องนะลูก เดี๋ยวคนไม่ดีเมื่อกี้ได้ยินเข้า เขาจะมาจับเราไป” มารดาพยายามปลอบประโลมลูกสาวที่กลัวมากจนร้องไห้สะอึกสะอื้น



“หนูกลัวค่ะแม่ ฮือ ฮือ”



“ไม่ต้องกลัว จะไม่มีใครมาทำร้ายเราได้ ถ้าพวกเขาไม่เห็นเรา อย่าร้องนะคะ”



“หนูกลัว...ฮือ..ฮือ....”



และก่อนที่เด็กน้อยจะร้องไห้ต่อไป ก็มีผีเสื้อสีสันสวยงามตัวหนึ่งบินลงมาเกาะต้นแขนของเธอ ซึ่งมันสามารถดึงดูดความสนใจได้อย่างน่าอัศจรรย์ เด็กน้อยหันมาสนใจผีเสื้อตัวนั้นหยุดร้องไห้อัตโนมัติ นั่งนิ่งไม่ขยับเฝ้ามองความงามของผีเสื้อพร้อมรอยยิ้ม ส่วนผีเสื้อเองก็ยังอยู่กับเธอ บินมาวนเวียน ตรงหน้าของเด็กน้อย บางครั้งก็บินไปเกาะบนไหล่บ้าง แต่ไม่ยอมบินจากไปไหน คล้ายกับรู้ว่าตัวเธอเท่านั้นที่จะทำให้เด็กน้อยนิ่งเงียบ จนมารดาของเด็กยิ้ม เผลอตัวกล่าวคำขอบคุณผีเสื้อ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า ผีเสื้อตัวนั้นได้ยินและรับรู้สิ่งที่มารดาของเด็กน้อยกล่าว ยินดีอยู่เป็นเพื่อนเด็กน้อยจนกว่าเธอจะปลอดภัย เมื่อเห็นว่าลูกสาวสงบนิ่งแล้ว ผู้เป็นมารดาจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดหมายเลข โทรฯ ด่วน 191 ทันที



ชายฉกรรจ์คนหนึ่ง วิ่งไล่ตามฝ่ายหญิงและเด็กน้อยมาติด ๆ แล้วหยุดอยู่หน้าต้นไม้ต้นที่พวกเธอทั้งสองเข้าไปหลบซ่อน เพียงไม่กี่ก้าว หันซ้ายแลขวา พยายามสอดส่องมองหาผู้หญิงและเด็ก ที่เห็นหลังอยู่ไว ๆ แต่เวลานี้กลับไม่เห็นแม้เงา ว่าไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนได้



“พี่เหล็ก กับ น้าปูน เราจะช่วยแม่ลูกคู่นี้ยังไงดีคะ” ต้นไม้สาว เอ่ยถามทั้งสองเสียงสั่น กลัวชายหน้าตาน่ากลัวคนนั้นจะรู้ว่าแม่ลูกได้หลบซ่อนอยู่ในนี้



“พี่กับน้าคงช่วยไม่ได้ ถ้าจะเปรียบ ก็คงไม่ต่างไปจาก [url]ชายหนุ่มผู้มีดวงตามืดบอด [/url]ที่ช่วยเหลือใครไม่ได้เลยแม้กระทั่งตัวเองยังต้องอยู่อย่างผู้ถูกกระทำ ส่วนแม่สาวสวยของพี่เหล็กก็เปรียบเหมือน [url]หญิงสาวที่พูดไม่ได้ [/url]หมายถึงไม่สามารถสื่อสารกับสองแม่ลูกได้ แต่แม่สาวสวยของพี่เหล็กมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ คุยกับใครก็ได้ยกเว้นพวกมนุษย์ ซึ่งมันแตกต่างกับพี่เหล็กและน้าปูน”



“อ๋อ...หนูเข้าใจแล้ว ถ้ายังงั้นหนูจะขอให้เจ้านกน้อยที่อยู่กับหนู บินไปขอให้คุณสายลมมาช่วย ถ้าหากผู้ชายคนนั้นเข้ามาใกล้หนู”



ทางด้านชายฉกรรจ์ ตัดสินใจวิ่งออกตามหาทางอื่น ทว่าเพียงไม่นานก็วนกลับมาที่ต้นไม้ต้นเดิม ด้วยอาการเหนื่อยหอบ มันสำรวจแล้วว่าไม่มีที่ไหนจะให้สองแม่ลูกหลบซ่อนได้อีกแล้ว มีบางอย่างทำให้มันคิดว่าสองแม่ลูกต้องเข้าไปหลบซ่อนในพุ่มไม้นี้แน่นอน จึงย่างสามขุมเดินเข้าไปหาอย่างมั่นคงแผ่วเบา



แต่ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะเข้าถึงต้นไม้ ก็เป็นอันตกใจ เพราะต้นไม้เกิดสั่นไหวรุนแรง สายลมจากภายนอกลอดผ่านกรงเหล็กพัดมากระทบร่างของมัน ทำให้มันไม่ทันตั้งตัวเซถลาก้าวถอยหลังล้มไปกองกับพื้นไกลจากพุ่มไม้พอสมควร



“อะไรกันวะ ลมบ้าอะไรวะเนี่ย พัดมาไม่มีปี่มีขลุ่ย” สบถออกมาอย่างหัวเสีย พยุงตัวเองลุกขึ้น ในมือยังคงกำมีดปลายแหลมไว้แน่น ก้าวเดินเข้าหาต้นไม้ตรงหน้าต่อไปอย่างมุ่งมั่น แต่แล้วก็เป็นเช่นเดิม ต้นไม้สะบัดสั่นไหวรุนแรงหนักกว่าครั้งแรก สายลมโหมกระหน่ำพัดกระโชกจนทำให้ชายฉกรรจ์กระเด็นไปไกลชนกับผนังอาคารอีกด้าน



“ไม่เอาแล้วเว้ย....ผีหลอก...ผีหลอก...ไม่เอาแล้ว”



ชายคนร้ายหน้าตาแตกตื่น ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว รีบตะเกียกตะกายพาตัวเองลุกขึ้นตั้งหลักวิ่งหน้าตั้งตรงไปหาลูกพี่ของมัน ซึ่งประจวบเหมาะกับรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจวิ่งเข้ามาจอดหน้าตัวอาคารร้าง คนร้ายทั้งสองจึงถูกจับไปดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนฝ่ายชายนั้นถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงเร่งด่วน โดยมีแม่ลูกคอยเฝ้าดูอาการอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นห่วง



ไม่กี่วันต่อมาฝ่ายชายก็ฟื้น อาการดีขึ้นต่อเนื่องเรื่อย ๆ และได้รับฟังเรื่องราวเหตุการณ์อันน่ามหัศจรรย์ในวันนั้นที่ทำให้สองแม่ลูกปลอดภัย จนคนฟังแทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงถ้าไม่ได้ยินเต็มสองหูจากปากภรรยาตัวเอง



(มีต่อ)

ดินสอสีน้ำ

ดินสอสีน้ำ

สมาชิก

ดินสอสีน้ำ

ดินสอสีน้ำ

สมาชิก

23 พ.ย. 2565 22:53 #2

“น้าปูน กับ พี่เหล็ก เจ็บไหมคะ” ต้นไม้สาวสวยถามขึ้นท่ามกลางเสียงดังอึกทึกครึกโครมของการทุบตีรื้อถอนสถานที่แห่งนี้



“ไม่เจ็บหรอกจ้าแม่ต้นไม้สาวสวย พวกน้าไม่มีความรู้สึก สามารถแปรเปลี่ยนได้ตามรูปน่ะ ว่าแต่เราเถอะเป็นยังไงบ้าง” คุณปูนตอบกลับ ไม่ยี่หระว่าตัวเองกำลังถูกทุบตีอย่างรุนแรง



“หนูจะเจ็บปวดได้ยังไงล่ะคะ ก็เจ้าของที่นี่เขาสั่งให้ผู้รับเหมาดูแลหนูดีอย่างกับไข่ในหิน แม้กระทั่งใบไม้ใบเดียวก็ห้ามให้ได้รับบาดเจ็บ...ความรู้สึกของหนูตอนนี้ ยังกับหนูเป็นราชินีน้อยเลยค่ะ” ต้นไม้สาวสวยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขยับส่วนใบพริ้วไหวเริงร่าตามสายลมอ่อน



“ฮ่า..ฮ่า...ก็แม่สาวสวยของพี่เหล็ก ช่วยเหลือภรรยาและลูกของเขาเอาไว้นี่ ก็สมควรได้รับผลตอบแทนกลับมาอย่างดีที่สุด เก่งมาก ต่อไปนี้แม่สาวสวยของพี่เหล็กก็จะเจริญเติบโตอย่างอิสระแล้ว”



“ถ้าไม่ได้ คุณผีเสื้อ คุณนก คุณสายลม ช่วยด้วยอีกแรง วันนั้นก็คงแย่เหมือนกันค่ะ”



“พวกเขายินดีช่วยเหลือตามคำขอร้องของหนูอยู่แล้ว เพราะหนูมีบุญคุณกับพวกเขา น้าปูนกับพี่เหล็ก ถึงเวลาต้องไปแล้วล่ะ แต่น้ามั่นใจว่าแม่สาวสวยของน้าจะไม่มีวันเหงา และจะมีความสุขมากขึ้น อย่าลืมคิดถึงน้าปูนบ้างล่ะ น้าปูนไปแล้วนะจ๊ะ บ๊าย บาย”



“พี่เหล็ก ก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน พี่เหล็กขอให้แม่สาวสวยของพี่เหล็ก เป็นราชินีน้อยที่อารมณ์ดี คิดบวก และแสนใจดีมีเมตตา คอยช่วยเหลือผู้อื่นแบบนี้ตลอดไปนะ คิดถึงพี่เหล็กบ้างล่ะ ลาก่อน”



“ขอบคุณน้าปูน กับพี่เหล็ก เช่นกันค่ะ แล้วหนูจะเอาเรื่องราวของพวกเราที่ผ่านมา ไปบอกเล่าให้กับเพื่อน ๆ ได้รับรู้ว่า พี่กับน้าก็น่ารักอดทนฟังหนูเล่าเรื่องต่าง ๆ นา นา ได้ทุกวันโดยไม่รู้จักเบื่อหน่าย ขอบคุณนะคะที่เข้าใจหนู”



ไม่มีเสียงตอบกลับจาก คุณปูน และ คุณเหล็ก อีกแล้ว จึงทำให้ ต้นไม้สาวสวยราชินีน้อย รู้สึกใจหายว้าเหว่อยู่บ้าง ถึงแม้จะรู้ว่าการจากลาครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของความเศร้าใจเลยสักนิดเดียว ในทางตรงกันข้าม สิ่งใหม่ ๆ ดี ๆ กำลังรอเธออยู่ข้างหน้า เมื่อเธอรู้ว่าเจ้าของที่ตรงนี้ จะให้อิสระในการเจริญเติบโตกับเธออย่างเต็มที่ แทนการโค่นทิ้งเพื่อปลูกสร้างอาคารตามแผนเดิม เขากลับเลือกให้สถาปนิกเขียนแบบแปลนขึ้นมาใหม่ สร้างอาคารเล็กลงเพื่อเหลือพื้นที่ให้เธอนั้นยังคงอยู่ เคียงข้างพวกเขาตลอดไปจนกว่าโลกใบนี้จะดับสูญ หรือว่าเธอจะหมดอายุขัยไปเองนั่นแล



….จบแล้วค่า….

ดินสอสีน้ำ

ดินสอสีน้ำ

สมาชิก

ดินสอสีน้ำ

ดินสอสีน้ำ

สมาชิก

23 พ.ย. 2565 22:55 #3

ขอให้เพื่อน ๆ ที่หลงเข้ามาอ่าน มีความสุขกับการอ่านนะคะ :-)

ขอบคุณค่า

ดินสอสีน้ำ

ดินสอสีน้ำ

สมาชิก

ตอบกระทู้
CAPTCHA Image
Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้