ดินสอสีน้ำ
เรื่องสั้น...เสียงสะอื้น (133 อ่าน)
12 พ.ย. 2565 17:37
(((( เสียงสะอื้น ))))
โดย..ดินสอสีน้ำ
อรวรรณสาวออฟฟิศเช่าหอพักอยู่กับมาลัยพี่สาวคนละฝา ต่างพ่อต่างแม่ แต่รักใคร่กันฉันท์พี่กับน้องท้องเดียวกัน ถูกโฉลกต้องตาตั้งแต่เธอเข้าทำงานที่บริษัทฯ นี้เป็นครั้งแรก แต่แล้วไม่นาน มาลัยก็พลิกผันตัวเองออกมาจากพนักงานบริษัทฯ ไปทำงานแคชเชียร์ในผับบาร์ยามราตรี ส่วนอรวรรณก็ยังเป็นสาวออฟฟิศเกาะติดอยู่ที่เดิมไม่ยอมออกไปไหน เหตุเพราะออฟฟิศกับหอพักอยู่ใกล้กันประหยัดค่ารถ เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึง เริ่มทำงานแปดโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็น วันไหนมีงานด่วนต้องเคลียร์ก็เลิกสามทุ่ม ถือว่าดึกสุดส่วนมาลัยเริ่มทำงานหนึ่งทุ่มเลิกตีสามตีสี่บางทีก็ตีห้าช้าสุดก็หกโมงเช้า เจอกันก็แค่งัวเงียทักทายแล้วหลับต่อ ไม่ก็สลับที่กัน มาลัยทิ้งตัวลงนอน อรวรรณลุกขึ้นมาอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน
หอพักให้เช่าสร้างขึ้นสองชั้นมีห้องให้เช่าชั้นละสี่ห้อง ตรงกลางเป็นทางเดินกว้างเมตรครึ่ง อรวรรณกับมาลัยเช่าอยู่ชั้นสองห้องแรกสุดด้านซ้ายมือ ประมาณว่าเดินขึ้นบันไดเจอระเบียงสำหรับชั้นวางรองเท้าเลี้ยวขวาอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูห้อง
“พี่ลัยหนูออกไปทำงานแล้วนะ” อรวรรณส่งเสียงปลุกมาลัยให้รู้ว่าตัวเองจะไปทำงานแล้ว
“อือ” เสียงอู้อี้ตอบรับมาจากคนนอนมุดหน้าซุกอยู่กับหมอนข้างใบเก่าสีขาวล้วนซีดจางแต่ยังแลดูสะอาดตา
“พี่หมู นี่ชั้นไม้ของใครมาวางตรงนี้”
อรวรรณสะดุดตาร้องถามคนชื่อหมูที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางซ้ายเห็นประตูเปิดกว้าง หลุบสายตาหันไปมองด้านขวาจับจ้องอยู่กับชั้นวางของสูงประมาณหนึ่งเมตรกว้างสองฟุต มีสามชั้นดูเหมือนเป็นไม้เก่าแก่โบราณสีน้ำตาลเข้มเคลือบเงาวาววับ มันวางอยู่บนทางเดินติดผนังห้องของเธอ ซึ่งอยู่ห่างกับหัวนอนราวสองเมตร
“ไม่รู้ของใคร พี่ก็เพิ่งเห็น” หมูตอบขณะเดินก้าวออกมาปิดประตูห้องล็อกกุญแจ
“อรว่าไม้มันดูเก่าโบราณมากเลยนะ น่าจะของห้องตรงข้ามเห็นเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่” อรวรรณมองชั้นไม้เก่าแก่โบราณอย่างพินิจพิจารณา และสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่เธอเองไม่อยากคิด
“คงใช่มั้ง มีอะไรป่าวทำไมอรถึงสนใจจัง” หมูหันมาสบตาอรวรรณเชิงสงสัย
“ไม่รู้สิพี่ รู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูก” อรวรรณตอบกลับส่ายศรีษะ หันหลังไปมองชั้นไม้ เก่าแก่โบราณอีกครั้งก่อนเดินลงบันไดไปพร้อมกับหมูซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัทฯ เดียวกัน
++++++
นาฬิกาเรือนจิ๋วของก๊อปตามตลาดนัดบนข้อมือซ้ายของอรวรรณบอกเวลา สามทุ่มเศษ วันนี้เธอต้องเคลียร์งานเอกสารด่วนกว่าจะแล้วเสร็จก็สองทุ่มพากันเดินกลับหอพักแวะทานก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยกินเวลาไปร่วมชั่วโมง
“พี่หมูว่าชั้นไม้เก่าแก่โบราณเมื่อเช้ามันจะยังอยู่ไหม”
จู่ ๆ อรวรรณก็ถามอีกคนขณะกำลังเดินขึ้นบันได แสงไฟหลอดยาวตามทางเดินบนหอพักสว่างบ้างแต่ไม่จ้าเท่ากลางวัน
“คงมีคนเอาไปไว้ในห้องแล้วมั้ง”
“มันยังอยู่พี่ นั่นไง” ทำปากยื่นสายตาสบกับชั้นไม้เข้าพอดี มันยังคงตั้งอยู่จุดเดิมเฉกเช่นตอนเช้า แสงสลัวของหลอดไฟ อาบคลุมชั้นไม้เก่าแก่โบราณกอปรกับเงาดำทมิฬของมัน ทอดยาวออกมาคลับคล้ายคลับคลามีใครคนหนึ่งนั่งทับซ้อน แล้วใครเล่าจะรู้สึกตะครั่นตะครอไม่สบายใจเมื่อได้พบเห็นเหมือนกับเธอบ้าง มีอะไรบางอย่างทำให้เธอขนลุกขนชันขึ้นมาแบบไม่รู้สาเหตุ
“เขาคงจัดห้องไม่เสร็จเลยยังไม่เอาเข้าไปเก็บหรือเปล่า ทำไม อรอยากได้เหรอ ขโมยเอาไปไว้ในห้องเลยไหม” อีกฝ่ายออกความคิดปนเสียงหัวเราะมองเป็นเรื่องไร้สาระ
“พี่หมู คืนนี้อรไปนอนที่ห้องพี่ด้วยได้ป่าว” อรวรรณเอ่ยถามขึ้นดื้อๆ โดยอัตโนมัติ
“กลัวอะไร อย่าบอกนะว่าอรกลัวชั้นไม้นั่น ” อีกคนหัวเราะยังเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันในขณะที่อีกคนรู้สึกกระวนกระวายหวาดหวั่นสิ่งนั้นขึ้นมาจนขนลุก
“จะมาก็มาแต่ว่าที่นอนพี่มันแคบนะ พี่กับนิ่ม ก็เต็มแล้ว อรมาอีกได้เบียดกันตกที่นอน” หมูตอบรับเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายซีดจางและตื่นตระหนกจนน่าสงสาร
“งั้นไม่เป็นไรพี่ คงไม่มีอะไร อรคิดมากไปเอง”
ปากบอกไปแบบนั้นแต่ร่างกายดันส่ออาการตรงกันข้าม น้ำเสียงประหม่า หัวใจเต้นเร็วแรงผิดจังหวะกระสับกระส่ายมือไม้สั่นเทา รีบล้วงกระเป๋าถือความหากุญแจมาเปิดประตูห้อง ทำเหมือนว่ากลัวจะมีบางสิ่งบางอย่างที่อาศัยอยู่กับชั้นไม้เก่าแก่โบราณย่องเงียบอยู่ทางด้านหลังขอเข้าไปในห้องด้วยยังไงยังงั้น
“ไม่มีอะไรหรอก อร คิดไปเอง” หมูสังเกตเห็นเพื่อนรุ่นน้องตกอยู่ในอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดขณะกำลังยืนเปิดประตูห้อง
“คงงั้นมั้งพี่”
เธอพูดปลอบใจตัวเองพยายามทำน้ำเสียงให้ปกติ แต่อากัปกิริยากลับดูสวนทาง เปิดประตูได้คลำหาสวิตช์ไฟข้างผนังเพื่อให้ภายในห้องสว่างไสว ดีกว่ามืดมิด แล้วรีบก้าวเข้าห้องกดล็อกกลอนประตูลูกบิด เดินตรงไปเปิดพัดลมคอยาวสีเขียวอ่อนตั้งอยู่อีกฝั่งของห้อง วางกระเป๋าและกุญแจบนโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กด้านข้างที่นอนของเธอมีวิทยุตั้งวางอยู่ก่อนแล้ว
จากนั้นรุดเดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำ ไม่ถึงห้านาทีก็ออกมาสวมใส่ชุดนอนเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนหยิบหมอนข้างมากอดก่ายนอนตะแคงเอาหัวซุกหมอนข้างใบเก่าซึ่งเมื่อเช้าพี่มาลัยใช้งานไปแล้ว ปิดแสงจากหลอดไฟมาบังใบหน้า กลิ่นดอกไม้หอมอ่อน ๆ จากน้ำยาปรับผ้านุ่ม แตะปลายจมูกเมื่อเขาแนบชิดสูดลมหายใจเข้าออกกับหมอนข้าง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย บวกกับความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานล่วงเวลาจึงทำให้เธอข่มตาหลับได้ภายในไม่กี่นาทีแต่แล้วจู่ ๆ เธอก็สะดุ้งลืมตาโพลงราวกับมีใครมาตั้งใจปลุกให้เธอตื่นในค่ำคืนอันเงียบสะงัดวังเวงชวนขนลุกมีเสียงพัดลมส่ายไปมาเป็นเพื่อนได้ชื่นใจ ทันใดนั้นเองบังเกิดมีเสียงหนึ่งดังแว่วมากระทบโสต
ฮือ ฮือ ฮือ .(..ฮืด..ฮืด..)ฮืฮ ..ฮือ.ฮือ (..ฮืด..ฮืด..)
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังขึ้นมาต่อเนื่องเสียงสูดจมูก ฮืดฮาดมีน้ำตาปนน้ำมูก ดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง อรวรรณใจหายตกวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เงี่ยหูฟัง เสียงมันดังทางด้านนอก เหมือนจะอยู่ตรงหัวบันได
ฮือ ฮือ ฮือ .(..ฮืด..ฮืด..)ฮืฮ ..ฮือ.ฮือ (..ฮืด..ฮืด..)
เสียงนั้นทำให้เธอแทบสติหลุดกระเจิดกระเจิงขนลุกชูชันไปทั้งตัว ขบริมฝีปากแน่น และก่อนที่เธอจะหัวใจวายหรือไม่ก็กลายเป็นบ้า เธอตัดสินใจในวินาทีนั้นกลั้นลมหายใจเอื้อมมือสุดแขนซ้ายไปกดเปิดวิทยุหวังจะฟังเสียงเพลงแทนเสียงสะอื้นของใครคนหนึ่งที่อยู่ด้านนอก
ฮือ ฮือ ฮือ .(..ฮืด..ฮืด..)ฮืฮ ..ฮือ.ฮือ (..ฮืด..ฮืด..)
ฮือ ฮือ ฮือ .(..ฮืด..ฮืด..)ฮืฮ ..ฮือ.ฮือ (..ฮืด..ฮืด..)
เสียงร่ำไห้ครวญครางสะอึกสะอื้นสูดจมูกฮืดฮาด น้ำตาปนน้ำมูก ดังใกล้เข้ามาทุกขณะคราวนี้เหมือนมันหยุดใกล้แค่เหนือศีรษะของเธอมีเพียงผนังกั้น
ฮือ ฮือ ฮือ .(..ฮืด..ฮืด..)ฮืฮ ..ฮือ.ฮือ (..ฮืด..ฮืด..)
อรวรรณรีบหดมือแล้วเอื้อมหยิบผ้าห่มที่กองอยู่ปลายเท้าขึ้นมาคลุมโปงทั้งตัวไม่มีความพยายามจะหมุนคลื่นวิทยุเพื่อหาเสียงเพลงแทนเสียง ซ่า... ซ่า... ซ่า ...ให้เสียเวลาอีกต่อไป นึกไว้อย่างน้อยเสียงนี้ก็ยังดีกว่าฟังเสียงร้องไห้ของใครก็ไม่รู้ทางด้านนอก
ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าใครมาร่ำไห้เศร้าโศกเสียใจมากมายในเวลากลางคืนดึกดื่นเช่นนี้นะจะลุกไปเปิดประตูดูให้รู้เรื่อง แต่เจ้ากรรมร่างกายมันไม่ยินยอมตอบสนอง นอนขดตัวคุดคู้ใต้ผ้าห่มสองมือปิดหูแน่นไม่อยากได้ยิน นึกภาวนาในใจ
“สาธุ สาธุ พี่มาลัย รีบกลับมาเถอะ ได้โปรด ขอร้อง ได้โปรด”
ฮือ ฮือ ฮือ .(..ฮืด..ฮืด..)ฮืฮ ..ฮือ.ฮือ (..ฮืด..ฮืด..)
เสียงสะอื้นไห้อยู่ภายนอกเหนือศีรษะยังคง ร่ำไห้รำพันต่อไปไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เสียงของเธอแข่งกับเสียง ซ่า ๆ ของวิทยุ จนดูเหมือน เสียงวิทยุจะเบาเกินไปเสียแล้วในตอนนี้ หูเจ้ากรรมของเธอก็ใช้การได้ดีเกินความจำเป็นเสียนี่กระไร ต่อให้เอามือปิด เสียงนั้นก็ทลายผ่านกำแพงมือจนเกิดการได้ยินเต็มสองหู
ฮือ ฮือ ฮือ .(..ฮืด..ฮืด..)ฮืฮ ..ฮือ.ฮือ (..ฮืด..ฮืด..)
เสียงนั้นมันช่างดูน่าเวทนาสงสารรำพันร่ำไห้คร่ำครวญสะอึกสะอื้นน้ำตานองหน้าปนน้ำมูกสูดจมูกฮืดฮาดตลอดเวลา ประหนึ่งว่าเธอถูกทอดทิ้งแลสูญเสียของรักไป...สิ่งเดียวอาจทำได้ คือร้องไห้อ้อนวอนจนวาระสุดท้ายให้ตกไปตามกัน
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดไม่อาจรู้ได้ อรวรรณนอนขดตัวนิ่งไม่ไหวติงไม่ขยับ หลับตาปี๋ เสียงฟันกระทบกันตัวสั่นเทา ร่างกายมีเหงื่อท่วมตัว ความกลัวมีมากกว่าความกล้าที่จะสะบัดผ้าห่มทิ้งแล้วลุกขึ้นนั่งจ่อพัดลมเสมือนไม่เกิดอะไรขึ้น มันคล้ายเธอกำลังนอนอยู่ในห้องอบซาวน่าก็ไม่ปาน
“ให้ตายเถอะทำไมเวลามันถึงได้เดินช้าแบบนี้นะ ได้โปรดใครก็ได้ช่วยที ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากได้ยิน ขอร้อง หยุดที ได้โปรด” อรวรรณพร่ำเพ้อสะเปะสะปะออกมาฟังไม่ได้ศัพท์
และแล้วในที่สุด อรวรรณก็ได้ยินเสียงร้องเพลงนำพาก่อนเจ้าตัวมาแต่ไกล มันเป็นเสียงของมาลัยนั่นเอง สิ้นสุดการรอคอย
เสียงสวรรค์ทรงโปรด ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกที่ไม่ทอดทิ้งกัน ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
ขณะเดียวกันมันก็น่าแปลกที่เสียงเจ้ากรรมทำลายโสตประสาทเธอแทบกระเจิดกระเจิงก็เงียบกริบไปในบัดดล
…..เสียงเพลงใกล้เข้ามา…..
…..เสียงเดินขึ้นบันได…..
…..เสียงเปิดประตู…..
อรวรรณสูดลมหายใจเข้าออกยืดยาวเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“พี่ลัยตอนนี้กี่โมงแล้ว”อรวรรณสะบัดผ้าห่มออกวางข้างลำตัวรู้สึกโล่งอกโล่งใจ ไปเปลาะหนึ่งและโพล่งถามประโยคแรกที่เห็นมาลัยยืนอยู่กลางห้อง
“ตีห้า ทำไม มีอะไร” มาลัยมีอาการตื่นตระหนกในอากัปกิริยาของอรวรรณ
“พี่ลัย ตอนขึ้นมาเห็นใครนั่งร้องไห้อยู่ด้านนอกไหม”
“หือ...ไม่มีนี่ มีอะไรเหรอ แล้วทำไมเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน” มาลัยจ้องหน้าคนถามซึ่งตอนนี้มีสีหน้าซีดเผือดเหมือนไก่ต้มเต็มไปด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“พี่ลัยไม่เห็นจริงๆ เหรอ” อรวรรณถามย้ำอีกครั้งน้ำเสียงสั่นพร่าสีหน้าปั้นยาก สองมือประกบกันแน่นบีบเกร็ง เม้มริมฝีปาก นอนแข็งทื่อหายใจเต้นเร็วถี่จนหน้าอกกระเพื่อมแรง
“ไม่มีจริง ๆ พี่เดินขึ้นมาไม่เห็นใครเลย”
อรวรรณยังคงนอนนิ่งบีบมือแน่นบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เธอตกใจตื่นกลางดึกแล้วได้ยินเสียงคนร้องไห้ฮืดฮาดคล้ายเสียงผู้หญิงอยู่ด้านนอกนานนับชั่วโมง
ฉับพลันนั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จู่ๆ มาลัยร้องตะโกนโหวกเหวกเสียงดังก้องอย่างท้าทายออกไปว่า
“บง บุญ อะไร ไม่มีหรอก มีแต่บาปแต่กรรมจะเอาไหม”
เท่านั้นแหละ เสียงสะอื้นไห้ปนเสียงฮืดฮาดด้วยน้ำมูกและน้ำตา ก็ดังขึ้นเสียยิ่งกว่าเดิมหากคราวนี้เสียงดังห่างออกไปหยุดตรงบันได
ฮือ ฮือ ฮือ .(..ฮืด..ฮืด..)ฮืฮ ..ฮือ.ฮือ (..ฮืด..ฮืด..)
มาลัยมีสีหน้าฉงนคิ้วขมวดเข้าหากันทรุดตัวลงนั่งกับที่นอนขนาดห้าฟุตทางปลายเท้าขนแขนลุกตั้ง เงี่ยหูฟังไม่ขยับ
ฮือ ฮือ ฮือ .(..ฮืด..ฮืด..)ฮืฮ ..ฮือ.ฮือ (..ฮืด..ฮืด..)
คราวนี้มาลัยรีบคลานขึ้นมานอนหยิบผ้าห่มผืนเดียวกับอรวรรณคลุมโปงทั้งตัวกอดกันแน่นแทบจะเป็นร่างเดียวกันไปจนถึงรุ่งเช้าโดยไม่ได้หลับ ร่วมกันสวดภาวนาขอให้เวลาผ่านไปโดยเร็ว
กริ๊งงงงงงงงงง
เสียงนาฬิกาบนหัวนอนปลุกบอกเวลาหกโมงเช้า และมีเสียงคนคุยกันทางด้านนอก อรวรรณเดินไปเปิดประตูไล่ถามห้องพักทั้งสามห้องว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงใครร้องไห้ ด้านนอกไหม แล้วมีใครออกมาร้องไห้ด้านนอกห้องพักบ้างหรือเปล่า
คำตอบที่ได้คือ ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย และไม่มีใครออกมาร้องไห้อย่างที่เธอถาม มันทำให้เธอ มีสีหน้าเลิ่กลั่ก ยืนนิ่งกายไม่ขยับอยู่พักใหญ่ ขนลุกขนพองไปทุกอณูผิว พลางสายตาหันขวับไปจ้อง ชั้นไม้โบราณ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นของใครและไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามันมาวางไว้ตรงนี้ พอได้สติรีบปิดประตูห้อง ยืนหันหลังพิงประตู หลับตาปี๋นึกพูดกับตัวเองในใจ
“อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย ถ้ามีโอกาสได้ทำบุญจะนึกถึงและแผ่ส่วนกุศลไปให้นะ สาธุ สาธุ สาธุ ”
ในคืนต่อมาอรวรรณก็ไม่ได้ยินเสียงสะอื้นไห้นั้นอีกเพราะชั้นไม้เก่าแก่โบราณได้อันตรธารหายไปแล้ว ซึ่งยากจะคาดเดาได้ว่า ใครจะโชคดีได้ยินเสียงสะอื้นไห้เป็นรายต่อไปถัดจากเธอ
...จบ...
ดินสอสีน้ำ
สมาชิก